วันนี้เราจะพาเที่ยวตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji) เป็นอีกหนึ่งสถานที่แนะนำที่ต้องมา ถ้าไม่มาเหมือนว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่น เนื่องจากตลาดแห่งนี้เป็นตลาดปลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลาง เป็นรากฐานของวงการอาหารญี่ปุ่น อุดมไปด้วยวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน ตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji) ไม่ใด้มีเพียงตลาดขายส่งปลาเท่านั้น สิ่งที่ขึ้นชื่อของย่านนี้ก็คงหนี้ไม่พ้นร้านอาหารประเภทซูชิ หรือพวกปลาดิบ ซึ่งร้านที่ได้รับการรีวิวจะมีคนต่อแถวรอกินยาวมาก เช่น Sushi Dai ร้านที่คนไทยรู้จักกันดีแถวยาวตั้งแต่ก่อนเปิดร้าน ก่อนที่จะพาไปชมภาพบรรยายของตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji) เรามาทำความรู้จักความเป็นมาของตลาดกันก่อนดีกว่า
ตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji) ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยเอโดะจากการบัญชาของโชกุน โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ (Tokugawa Ieyasu) เพื่อความสะดวกในการส่งให้เข้าสู่ประสาทเอโดะ อิเอะยะซุได้เชิญชวนชาวประมงจากสึกุดะในโอซะกะ มาขายปลาที่นครเอะโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) ซึ่งในช่วงแรกได้ใช้พื้นที่ใกล้กับสะพานนิฮงบาชิ(Nihonbashi) ซึ่งที่นั่นถูกเรียกว่า อุโอะงะชิ (ท่าปลา) ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของเอะโดะ สิงหาคม ค.ศ. 1918 เกิดการจลาจลข้าว (โคะเมะ โซโด) ซึ่งมีผู้ประท้วงและก่อจลาจลในกว่าร้อยเมือง เพื่อต่อต้านภาวะขาดแคลนอาหารและราคาข้าวที่แพง รัฐบาลจักรวรรดิญี่ปุ่นถูกกดดันให้จัดตั้งสถาบันเพื่อจำหน่ายอาหารแห่งใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เขตเมือง จนในที่สุด กฎหมายตลาดค้าส่งกลาง จึงถูกตราขึ้นในเดือน มีนาคม ค.ศ. 1923 จึงกลายเป็นตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji) มีสินค้ามากมายหลายระดับ ตั้งแต่สาหร่ายทะเลถูกๆ ไปจนถึงไข่ปลา Cavier ราคาแพง หรือปลาทูน่าที่ถูกประมูลไปในราคาสถิติโลก ก็ได้มีการจัดประมูลที่นี่ โดยที่ตัวตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji) ได้แบ่งโซนหลักต่างๆ ในตลาดตามแผนผังดังนี้
1. โซนตลาดปลาและอาหารทะเล (Fish and seafood market)
- โซนตลาดค้าผักและผลไม้ (Vegetables and fruit market)
- โซนประมูลปลา (Salted and dried fish auction area)
- โซนตลาดรอบนอก
สำหรับทริปนี้เราคงไม่ได้เข้าโซนที่มีการประมูลปลา เนื่องจากห้ามบุคคลภายนอกเข้า แต่ถ้าหากใครต้องการชมการประมูลก็ต้องแจ้งล่วงหน้ากับทางตลาด แต่โซนรอบนอกก็น่าสนใจไม่แพ้กันมาชมกันได้เลยครับ
เริ่มต้นการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน วันนี้เราออกจากที่พักกันแต่เช้า….แล้วก็มาเจอกับสภาพรถไฟที่แน่นมากกกก เมื่อไม่ได้รีบมากก็รอขบวนถัดไปกันดีกว่า
เมื่อมาถึงเราก็เดินเข้าตลาดปลาอย่างไม่รอช้า เมื่อย่างก้าวเข้าตลาด กลิ่นของอาหารทะเลสดก็คละคลุ้งไปทั่ว ในภาพจะเห็นว่ามีรถยกของ ลังโฟมใส่ปลาพร้อมส่งให้ลูกค้าตามร้านอาหาร
เข้ามาในโซนตลาดด้านใน เราจะเห็นรถสามล้อไฟฟ้าใช้สำหรับขนของ รถขนของสามล้อแบบนี้ดูคล่องแคล่วซ่อกแซกได้อย่างสะดวกตามตรอกซอยเล็กๆภายในตลาดปลาแห่งนี้ ใครที่มาเดินภายในตลาดก็ต้องระมัดระวัง เนื่องจากรถสามล้อใช้ไฟฟ้าจึงขับเคลื่อนแทบจะไม่มีเสียง อาจจะไม่ทันมองในขณะเดินเที่ยวในตลาด
อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใสจริงๆวันนี้ ตรงนี้เป็นโซนที่จอดรถสำหรับผู้ที่มาซื้อปลา ที่จอดรถระหว่างโซนร้านขายปลาและโซนร้านอาหารที่อยู่ในตลาด
เดินต่อมาเราก็พบกับห้องแถวขนาดไม่ใหญ่มาก ข้างในเต็มไปด้วยปลาทูน่าตัวโต ชายหนุ่มหลายชีวิตกำลังแล่ปลาทูน่าลงลังโฟมกันอย่างขมักเขม้น เห็นแล้วก็หิวเพราะออกจากที่พักกันแต่เช้าหิ้วท้องที่พร้อมจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่เราคงอดใจไว้ก่อนสำหรับโอโทโร่ ท้องทูน่าละลายในปากที่วางขายในโซนรอบนอกตลาด
เดินต่อมาเรื่อยๆก็จะเป็นโซนตลาดค้าปลาด้านใน เป็นโซนที่ร้านอาหารจะเข้ามาสั่งปลากับร้านที่ไว้ใจกันมานาน
เดินเข้ามาด้านในตลาดเราก็พบกับร้านของคุณลุง คุณป้าหน้าตาใจดี ขายวัตถุดิบอาหารทะเลสดๆ คุณลุงจะคัดวัตถุดิบสดๆไว้ให้กับลูกค้าขาประจำที่ไว้ใจฝีมือการเลือกปลาของคุณลุงดูจากบรรยากาศภายในร้านรับรู้ได้ถึงความเก่าแก่
หลังจากเดินชมบรรยากาศภายในตลาดที่เป็นโซนค้าปลา เราก็เดินออกมาที่โซนร้านอาหาร เราจะเห็นร้านซูชิเกือบทุกร้านมีลูกค้าประจำยืนตอคิวรอลิ้มรสซูชิ ที่ใช้วัตถุดิบคัดเลือกสดๆจากตลาดปลาแห่งนี้ บางร้านต้องรอคิวกันหลายชั่วโมง แต่นักชิมก็ยอมยื่นตอคิวรอ เพื่อซูชิชั้นเลิศที่ใครมาก็ต่างรีวิวและแนะนำกันปากต่อปาก
ภาพด้านหลังร้านซูชิ จะเห็นเชฟเตรียมปลาและอาหารทะเลสดๆ เพื่อจัดเสิร์ฟให้ลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรได้ลิ้มลองกัน
ร้าน Tsukiji Masamoto เป็นร้านมีดชื่อดั่งในย่านโตเกียวเริ่มกิจการมาตั้งแต่ปลายยุคเอโดะ และเริ่มดำเนินธุรกิจที่ตลาดปลาสึกิจิในโตเกียวมาตั้งแต่ยุคโชวะ เป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงทางด้านมีดสำหรับทำอาหาร สืบทอดกิจการเป็นรุ่นที่ 7 เป็นเวลากว่า200 ปี การันตีคุณภาพด้วยรางวัลมากมาย ร้านอาจจะดูเล็ก แต่เรื่องคุณภาพนั้นไม่เล็กแน่นอน
บริเวณตลาดปลาจะมีอยู่ 2 ร้าน อยู่ในตลาดและอีกร้านจะอยู่ด้านนอกตลาดติดกันถนนใหญ่
ราคามีดจะค่อนข้างสูงนิดนึงเพราะใช้เหล็กคุณภาพสูง มีดคม และคงทนเหมาะสำหรับการใช้งานหนัก
ในภาพจะเป็นที่อยู่โซนด้านในตลาดปลา
ร้าน Tsukiji Masamoto อีกสาขาที่อยู่โซนด้านนอกตลาดปลา ร้านนี้จะใหญ่กว่าร้านด้านใน มีมีดให้เลือกมากกว่า ที่สำคัญพนักงานที่ร้านพูดไทยได้นิดหน่อย อยากได้มีดชนิดไหนก็ลองสอบถามทางร้านจะแนะนำได้เป็นอย่างดี
ตั้งใจไว้ก่อนจะมาแล้วว่าจะซื้อมีดจากร้าน masamoto มาถึงร้านก็ไม่รอช้าเข้าไปเลือกมีดที่เล็งไว้ตั้งแต่ก่อนมา ในภาพเป็นมีดยานางิบะ (yanagiba) ใช้แล่ปลาหรือหันปลาทำซูชิ ซาชิมิ มีความยาวคมมีด 12 นิ้ว และสันโคนมีดหนา 4 มิลลิเมตร เป็นมีดคมเดียวทำจากเหล็กที่มีคาร์บอนสูง คมมาก แต่ก็เปราะมาก เป็นสนิมหรือรอยด่างง่ายมาก ใช้แล้วต้องคอยเช็ดตลอด
พี่สุดหล่อที่ร้านมีด masamoto มีภรรยาเป็นคนไทยก็คุยกันถูกคอ เป็นมิตรมากสอบถามข้อมูลได้อย่างละเอียด เลยขอถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึกสะหน่อย ทำหน้าเข้มเชียวคุณพี่ ฮ่าๆ
อีกทั้งทางร้านมีบริการสลักชื่อลงบนมีด งานนี้ก็ขอให้ทางร้านสลักชื่อ ABUSHI ลงบนมีดให้เลย
ที่จริงแล้วมีดซูชิมีหลายชนิด เช่น มีดขึ้นปลา มีดลอกหนังปลา มีดแล่ปลา ที่ร้าน Abushi เราเลือกใช้มีดของ Masamoto เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเรื่องความแข็งแกร่งและความคม มีดเปรียบเสมือนอาวุธประจำตัวเชฟ จะได้รับการดูแลเก็บรักษาเป็นอย่างดีไม้แพ้วัตถุดิบ และจะถูกลับให้คมอยู่เสมอ
ABUSHI นอกจากจะใส่ใจการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพแล้ว เรายังใส่ใจในทุกๆรายละเอียด แม้กระทั่งมีด และอุปกรณ์ครัวอื่นๆ เพราะทุกองค์ประกอบที่ดี จะทำให้เมนูนั้นอร่อยและสมบูรณ์แบบที่สุด ไว้มีเวลาว่างจะเขียนเรื่องมีดอย่างละเอียดอีกครั้งนะครับ
ส่วนร้านนี้เป็นร้านขายของที่ระลึกลายน่ารัก ราคาก็ไม่แรง ถ้าสะดวกที่จะหิ้วก็แนะนำให้เลือกซื้อจากแถวนี้เลยครับ มีให้เลือกเยอะ อีกทั้งราคาก็น่ารัก ที่สำคัญอย่าลืมต่อรองนะครับ ได้ราคาถูกจะได้คุยโชกับเพื่อนได้ ฮ่าๆ
ถัดมาจะเป็นร้านจำหน่ายถ้วยชามดินเผา บางคนอาจคิดว่า “ถ้วยชามดินเผาต้องมีราคาแพงแน่ๆ” แต่ที่ร้านนี้เขาขายในราคาไม่แพง มีให้เลือกมากมาย ถ้วยชามดินเผาเป็นอีกหนึ่งงานศิลปะที่เลื่องชื่อของญี่ปุ่น จะซื้อไปใช้หรือจะซื้อไปฝากก็ถูกใจใช่เลยแน่นอน
หลังจากที่เราเดินช้อปเครื่องครัว เครื่องใช้ในตลาดปลาซึกิจิก็เริ่มรู้สึกหิวพอดี จึงตัดสินใจเดินออกมาโซนด้านนอกของตลาดปลา เราจะเห็นร้านอาหารมากมายให้เลือกชิม มีทั้งอาหารทะเลสด ขนมนมเนย เห็นแล้วก็ตาลายไม่รู้จะเลือกกินร้านไหนดี การตัดสินใจจากร้านที่มีคนต่อแถวเยอะก็เป็นอีกวิธีการเลือกร้านอร่อยๆ
ร้านนี้เป็นร้านราเมง เจ้าของร้านเป็นคุณป้าสูงวัยกำลังเคี่ยวนำซุปกลิ่นหอมเตะจมูก แต่เสียดายเราทานไม่ได้เนื่องจากเป็นราเมนน้ำซุปกระดูก ดูจากคนที่ต่อแถวสั่งอาหารน่าจะการันตีได้ถึงรสชาติความอร่อย
ถัดมาเป็นร้านขายไข่หวาน tamago yaki น่าทานมาก ทำออกมาร้อนๆ สดใหม่กระทะต่อกระทะ ไข่หวานมีให้เลือกทั้งแบบร้อนและแบบเย็น ลีลาท่าทางในการทำไข่หวานคล่องแคล่วมากช่วยเพิ่มอรรถรสให้ความอยากลองเพิ่มขึ้นไปอีก แต่….เราก็อดอยู่ดีเพราะไม่มั่นใจในส่วนผสมของไข่หวานเกรงว่าจะมีส่วนผสมที่ไม่ฮาลาล เพราะไข่หวานส่วนใหญ่ มีส่วนประกอบของมิริน หรือเหล้าหวานนั่นเอง
นอกจากของคาวแล้ว ก็มีของหวาน และผลไม้สดให้เลือกรับประทาน สตอเบอรี่เห็นสีอ่อนแต่ขอบอกเลยว่าหวานมาก ขนมหวานก็มีโมจิ ไดฟุกุไส้ถั่วแดง ชาเขียว วางท้อปด้วยสตอเบอรี่ลูกใหญ่ๆ ฟินนนนมากกกก
เมล่อนญี่ปุ่นหั่นพอคำเสียบไม้ สะดวกสำหรับถือกินระหว่างเดินเที่ยว เมล่อนสีส้มสวย เป็นเมล่อนพันธ์เนื้อนิ่มหวานฉ่ำ อยากจะซื้อกินอีกแต่เก็บท้องไว้สำหรับของคาวสักหน่อย
เดินมาสะดุดตากับอีกร้าน หอยเชลล์ (Scallop) ขนาดบิ๊กบึ้มเผาไฟเล็กน้อย ยืนกลืนน้ำลายอยู่หน้าร้านได้แต่มองเพราะก็ทางร้านทาซอสที่เราไม่มั่นใจว่ามีส่วนผสมที่ไม่ฮาลาลด้วยหรือป่าว ราคาของก็ประมาณไม้ละ 1000 เย็น ตกประมาณ 300 กว่าบาท ราคาก็ถือว่าใช้ได้อยู่ แต่ถ้าได้ลิ้มรองหอยเชลล์ขนาดนี้ ความสดระดับนี้ก็ถือว่าคุ้ม จริงๆก็ขอให้ทางร้านย่างสดๆแบบไม่ทาซอสก็ได้นะ
หอยเชลล์สดตัวใหญ่เผาไฟเล็กน้อย กลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่ว ไม่แปลกใจที่มีคนรอต่อแถวซื้อกันมากมาย
ร้านนี้ขายแต่ปลาไหลย่างเสียบไม้ เห็นแล้วมันน่ากินสะจริงๆ แต่อีกเช่นเคยได้แต่ยืนกลืนน้ำลาย เพราะส่วนใหญ่แล้วซอสคาบายากิ (kabayaki) ที่ใช้ย่างปลาไหล่จะมีส่วนผสมของเหล้าอยู่ด้วยเพื่อช่วยลดความคาวของปลาไหล
ปลาไหลจะมีอยู่ 2 ชนิด ที่นิยมรับประทาน
อูนาหงิ (Unaghi) ปลาไหลน้ำจืด จะอยู่ตามโขดหินในลำธาร แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่จะถูกเลี้ยงในฟาร์มและนำเข้าจากจีน
อะนาโหงะ (Anago) ปลาไหลทะเล เราจะเห็นบ่อยในข้าว ซูชิ
จากนั้นเราก็เดินเข้ามาในตึก เพื่อหลบลมหนาว เป็นตึกสร้างใหม่ชั้นล่างจะรวมร้านขายอาหารทะเลสดๆ มีให้เลือกหลายร้าน แต่เรามาสะดุดที่ร้านนี้ หน้าร้านวางอาหารทะเลสดให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็นปูทาราบะ ปูขน ปูซุวาอิ โอโทโร่ ปลาต่างๆ ไข่หอยเม่น ราคาก็จะแตกต่างกันไปตามขนาดและที่มา
ยังมีปลา ทั้งปลาน้ำจืดและปลาทะเลให้เลือกรับปะทานกันสดๆ ไม่ว่าจะเป็นปลา ปลากะพง ปลาซาบะ ปลาอาจิ ปลาคิเมะได ปลาเข็มญี่ปุ่น (sayori) และมีหอยให้เลือกอีกด้วย
กุ้งมังกรเป็นก็มีให้เลือกนะครับ ว่ายเนื้อแน่นอยู่ในตู้
ปู Red King Crab หรือที่เรียกกันว่าปูทาราบะ (Tarabagani) ว่ายเป็นๆอยู่ในตู้ พร้อมปรุงกันสดๆ ปูทาราบะเป็นปูยักษ์ มีรสชาติดีและจับได้มากในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว มีราคาค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่าจะจับปูชนิดนี้ได้มากแค่ไหนก็ไม่พอต่อความต้องการของผู้บริโภค จะจับได้มากในแถบทะเล Bering อลาสก้า ทางตอนบนของมหาสมุทรแปซิฟิค และบริเวณใกล้เคียง ในญี่ปุ่นนั้นจับได้ในทะเลญี่ปุ่น (Japan Sea) และทะเล Okhotsk (เกาะฮอกไกโด)
ปูทาบะจะมีสีแดงสวยน่ารับประทานเมื่อสุกแล้ว ทั้งๆที่ตอนเป็นมีสีม่วงอมแดง
เมนูยอดที่ได้รับความนิยมก็จะเป็นซูชิ ซาชิมิ นำไปต้มทั้งตัว ย่างก็ได้ หรือจะทำเป็นซุปปูทาราบะรสชาติหอมหวาน กลมกล่อม
Uni ไข่หอยเม่นแกะกันสดๆ จากฝา พร้อมเสิร์ฟให้ลูกค้า ไข่หอยเม่นจะมีหลายเกรดหลายราคาให้เลือกรับประทาน ขึ้นอยู่กับที่มาของเจ้าไข่หอยเม่น
มาถึงที่ถ้าจะไม่ลิ้มลองไข่หอยเม่นสดๆ (Uni) ก็คงจะพลาดมหันต์ ราคาก็จะโอ้โหว แต่รสชาติบรรยายไม่ถูกจริงๆ รู้แต่ว่าอร่อยหวานมาก นอกจากไข่หอยเม่นสด ก็จะมีไข่หอยเม่นแช่แข็งให้เลือกรับประทานด้วยนะครับ ราคาก็ค่อนข้างจะถูกกว่ามาก เจ้าไข่หอยเม่นเขาว่ากันว่าช่วงเดือนตุลาคมถึงปลายมีนาคมจะเป็นช่วงที่มีรสชาติดีที่สุด
ส่วนเจ้านี้คือหอยสังข์ (Tsubugai) ตัวใหญ่ๆ รสชาติของเจ้าหอยสังข์จะมีความเด้ง กรุบกรอบ ไม่เหนียว ทานแบบซาชิมิอร่อยมาก มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และที่สำคัญมีโอเมก้า 3 อีกด้วย
ส่วนนี้เป็นหอยนางรมญี่ปุ่น (Kaki) หอยนางรมญี่ปุ่นขึ้นชื่อมากเนื่องจากได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก บริเวณตลาดปลาซึกิจิจะมีร้านร้านขายหอยนางรมเป็นจำนวนมากให้เลือก ขนาดของหอยนางรมก็ใหญ่เท่าฝ่ามือ เรื่องความสดไม่ต้องพูดถึงมั่นใจได้แน่นอน ถ้ากินสดนิยมรับประทานกันซอสปอนสึ (Ponzu ポン酢)แต่ไม่สามารถรับประทานได้เนื่องจากมีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ งานนี้เลยโรยเกลือบีบมะนาวก็ฟินเช่นกัน
เดินมาเรื่อยๆ จนมาสะดุดกับร้านขายปลาทูน่าสดๆ ปลาทูน่าทั้งตัวที่ได้จากการประมูลจากตลาดปลาซึกิจิถูกวางโชหน้าร้านพร้อมแล่ให้ลูกค้า
เราจะเห็นเขาแล่ทูน่ากันสดๆ ปลาทูน่าแต่ละส่วนจะถูกแพ็คในถาดสวยงามวางขายเป็นชิ้นๆ ราคาจะขึ้นอยู่กับว่าเป็นปลาทูน่าส่วนไหน
ส่วนนี้เป็นส่วนปลาทูน่าเนื้อแดงที่เรียกว่า Akami เป็นปลาทูน่าส่วนกลางลำตัวที่ไม่มีไขมัน เป็นส่วนที่มีจำนวนมากที่สุดและหาได้ง่าย ราคาจึงถูกกว่าเนื้อส่วนอื่น อันที่จริงปลาทูน่าก็แบ่งออกเป็นหลายสายพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น Yellow Fin Tuna หรือ Blue Fin Tuna หรือจะเป็น Big Eye Tuna ที่บอกกว่ากันอร่อยที่สุดเทียบกับสายพันธ์อื่น
เลือกซื้ออาหารทะเลสดๆแล้ว ที่ขาดไม่ได้เลยคือวาซาบิ จะกินของอร่อยๆทั้งที ถ้าไม่เลือกวาซาบิสดก็คงไม่ได้รสชาติที่แท้จริง เราไม่รอช้าเดินตามหาร้านขายวาซาบิสด ต้องซื้อแบบเป็นหัวแล้วมาบดเองนะครับ เพราะหายากมากร้านที่ขายวาซาบิสดขูดแล้ว ราคาก็จะขึ้นอยู่กับขนาดของหัววาซาบิ
หลังจากเดินซื้ออาหารสดเรียบร้อย เราก็เดินหาที่นั่งกิน ถามพ่อค้าระแวกนั้น เขาแนะนำให้ขึ้นไปชั้นบนสุดของตึกจะมีที่สำหรับนั่งทาน คนอาจจะเยอะสักหน่อยก็ต้องรอคิว มีห้องน้ำสะอาด สามารถนั่งพัก นั่งเล่นก่อนไปช้อปปิ้งต่อได้เลย
เดินมาตั้งนานในที่สุดก็ถึงเวลาที่รอคอยสักที สิ่งที่เราได้มาก็มีปลาทูน่าอากามิ ปลาทูน่าส่วนโอโทโร่ละลายในปาก ไข่หอยเม่น หอยเชลล์สดหวานกรอบฟินสุด หนวดหมึกยักษ์กรอบเด้งไม่เหม็นคาว และยังมีหอยนางรมสดอีกด้วย งานนี้เราไม่ลืมเอาโชยุจากร้าน Abushi ติดมือมาด้วย รสชาติเข้ากันได้ดีจริงๆ …. หิววววว
เดินออกมาจากส่วนรับประทานอาหาร ตึกจะมีดาดฟ้าสามารถชมวิวโซนขายอาหารรอบตลาดปลาซึกิจิได้จากมุมนี้ อาหารดี บรรยากาศดี พูดได้เลยว่า “กินอิ่ม นอนหลับ หุ่นไม่เกี่ยว”
ภาพมุมสูงที่มองจากดาดฟ้าของตึก ดูดคึกคักวุ่นวายเล็กน้อย
กินอิ่มก็ได้เวลากลับแล้ว ก็จะไม่มีไรมากแค่ของติดไม้ติดมือกลับบ้านคนละถุงสองถุง มันคือ……ขยะ นั่นเองงงง ทานเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมหาที่ทิ้งกันให้เรียบร้อยนะครับ ถังขยะอาจจะหายากสักหน่อย ถ้าหาไม่เจอก็ถือกลับไปทิ้งที่พักเลยครับ
สำหรับวันนี้ขอจบการรีวิวตลาดปลา พร้อมกับความอิ่มเอมในอาหารและบรรยากาศยามเช้าของตลาดปลาซึกิจิไว้เท่านี้ สำหรับข้อมูลเรื่องปลาแต่ละชนิดไว้โอกาสหน้าจะเขียนลงรายละเอียดมากกว่านี้ หากท่านใดอยากทราบข้อมูลการเดินทางก็สามารถสอบถามเราได้ผ่านทางข้อความเพจ Abushi ได้เลยครับ เรายินดีเสมอ